เนื่องจากในปี พ.ศ. 2533 ได้เกิดการเรียกร้องของเกษตรกรชาวสวนยาง ขอความเป็นธรรมจากราคายางที่ตกต่ำ โดยมีการปิดทางรถไฟที่ชุมทางรถไฟทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งนายบรรหาร ศิลปอาชา
เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในสมัยนั้น และเป็นผู้รับผิดชอบกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ได้เดินทางไปแก้ปัญหา และมีความเห็นว่าควรจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ (กนย.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาเรื่องยาง ซึ่งการจัดตั้งนั้นต้องประกอบด้วยตัวแทนรัฐบาล ตัวแทนพ่อค้ายางและตัวแทนเกษตรกรชาวสวนยาง แต่จากการสำรวจปรากฏว่ายังไม่มีผู้แทนเกษตรกรชาวสวนยาง
ในระดับประเทศ ดังนั้น นายบรรหาร ศิลปะอาชา รัฐมนตรีฯ จึงสั่งให้นายอุดร ตันติสุนทร รัฐมนตรีช่วยฯ ดำเนินการจัดตั้งสถาบันเกษตรกรระดับประเทศ เพื่อเข้าไปเป็นคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ (กนย.)
โดยให้กรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ดำเนินการ จากการสำรวจปรากฏว่ามีสมาคมชาวสวนยางอยู่ 3 สมาคม คือ สมาคมชาวสวนยางจังหวัดระยอง, ชลบุรี และภูเก็ต จึงรวบรวม 3 สมาคม จดทะเบียนเป็นสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2533 เพื่อส่งผู้แทนเข้าเป็นคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ ซึ่งจากการคัดเลือกนายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ได้เป็นนายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย
และเป็นตัวแทนในคณะกรรมการนโยบายยางแห่งชาติ ซึ่งสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย
ได้มีนายกสมาคมฯ ตามรายชื่อดังนี้
- นายอุทัย สอนหลักทรัพย์
- นายสมศักดิ์ พงภัณฑ์ฑารักษ์
- นายบุญส่ง นับทอง
- นายสาฝีอี โต๊ะบู
- นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ (นายกสมาคมฯ คนปัจจุบัน)
วัตถุประสงค์
- 1.เพื่อเผยแพร่ข่าวสารและความรู้วิชาการยาง การแก้ไขปัญหายางพาราอย่างต่อเนื่อง
- 2.สนับสนุนและช่วยเหลือการเพิ่มผลผลิตยาง เพิ่มรายได้ให้แก่สมาชิก
- 3.เพื่อประสานงานการส่งบุตรหลานเรียนต่อไทยและต่างประเทศ
- 4.เพื่อเป็นองค์กรกลางในการให้ความช่วยเหลือติดต่อประสานงานกับภาครัฐและเอกชน เพื่อสนองนโยบายของภาครัฐตลอดจนแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของสมาชิก
เป้าหมาย
- 1.เผยแพร่ข่าวสารและความรู้วิชาการยาง การแก้ไขปัญหายางพาราอย่างต่อเนื่อง
- 2.สมาชิกได้รับการช่วยเหลือการเพิ่มผลผลิตยาง มีรายได้เพิ่มขึ้น
- 3.บุตรหลานของสมาชิกได้รับการสนับสนุนให้เรียนต่อไทยและต่างประเทศ
- 4.ได้ช่วยเหลือในการติดต่อประสานงานกับภาครัฐและเอกชน สนองตอบต่อนโยบายของภาครัฐตลอดจนสามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ของสมาชิก
บทบาทหน้าที่ของสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย
- 1.ส่งเสริมให้ชาวสวนยางรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อร่วมกันคิดช่วยกันทำและเป็นตัวกลางในการถ่ายทอดนวัตกรรม
- 2.พัฒนาในการผลิตยางพาราแบบครบวงจรทั้งต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำ
- 3.ร่วมกัน นำเสนอปัญหาวิธีการแก้ไขและความต้องการของชาวสวนยางต่อภาครัฐ
- 4.รักษาสิทธิ์อันพึงได้รับของชาวสวนยางที่มีต่อภาครัฐและเอกชน
- 5.เป็นอิสระไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองหรือหน่วยงานใดใดเป็นตัวแทนของชาวสวนยางอย่างแท้จริง
ผลการดำเนินงานที่สมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้ริเริ่ม พอสังเขป
- จัดตั้งตลาดกลางยางพาราภาคตะวันออก ณ จังหวัดระยอง
- 1.เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งโรงงานต้นแบบเพื่อฝึกอบรมเกษตรกรอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ยางที่จังหวัดระยอง จังหวัดขอนแก่น จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดปัตตานี
- 2.เป็นประธานยกร่าง พรบ.การยางแห่งประเทศไทย
- 3.จัดประชุมเกษตรกรชาวสวนยางในอาเชี่ยน 8 ประเทศ โดยมีประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ
- 4.เป็นผู้เสนอการปลูกยาง 1 ล้านกล้า ในจังหวัดภาคอีสานและภาคเหนือ
- 5.แก้ปัญหาให้เกษตรกรชาวสวนยางที่มีปัญหายางตาสอย
- 6.แก้ปัญหาที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ์ของ กยท. เป็นสีชมพู
- 7.ร่วมมือกับ ปตท. SCG และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เรื่องคาร์บอนเครดิตในสวนยางเป็นอาชีพเสริมแก่เกษตรกรชาวสวนยาง
- 8.จัดมหกรรมยางพารา ครั้งที่ 1 ใน EEC
- 9.จัดเสนอให้ยางพาราอยู่ในคัตเตอร์ที่ 6 ตามคติ ครม.ฯ 9 สิงหาคม 2565
- 10.เสนอให้รัฐบาลแก้ปัญหาถุงมือยางที่โดนสหรัฐอเมริกาแบนถุงมือยางธรรมชาติ
- 11.เสนอให้กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย แก้ปัญหาภาษียางที่ตั้งกฎเกณฑ์สูง 80 ต้น/ไร่
- 12.ประสานงานเพื่อผลักดันการมอบทุนการศึกษาให้กับลูกหลานเกษตรกร :ทุนแลกเปลี่ยนไทย-จีนกับ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชิงเต่า
- 13.ผลักดันการพัฒนาหลักสูตรการเรียน การสอน รวมทั้งด้านวิจัยและพัฒนา (R & D) ในการใช้เทคโนโลยี รวมทั้งการใช้นวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อพัฒนาวงการยางพาราในภาคอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ยางพารา
- 14.เป็นตัวแทนของชาวสวนยางในการแก้ไขปัญหาเรื่องราคายางตกต่ำ และผลักดันอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา และอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ ในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่เกษตรกร อย่างต่อเนื่อง
- 15.ผลักดันการแก้ไขเรื่องคุณภาพของถุงมือยางในการส่งออกและส่งเสริมการปลูกยางพันธุ์ดี ปี 2565
นโยบายและแผนการขับเคลื่อนในอนาคต
“ผลักดันให้มีการแปรรูปผลผลิตยางพาราภายในประเทศเป็นอุตสาหกรรมยางมากกว่าส่งวัตถุดิบยางพาราเป็นสินค้าออกคู่ไปกับดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ รวมทั้งร่วมขับเคลื่อนให้มีการตรวจวัดคาร์บอนด้วยนวัตกรรมและสามารถซื้อ-ขายคาร์บอนเครดิตเป็นอาชีพเสริมให้แก่เกษตกร ให้เป็นวาระแห่งชาติก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางตลาดยางพารา (Hub) ของโลกในอนาคต”